วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ตัวอย่างและความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ

 

           เทคโนโลยีสารสนเทศมีพัฒนาการที่เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มีการปรับปรุงเครื่องมือเครื่องใช้ที่เป็นประโยชน์กับงานสารสนเทศอยู่ตลอดเวลา ทำให้วงการวิชาชีพหันมาปรับปรุงกลไกในวิชาชีพของตนให้ทันกับสังคมสารสนเทศ

           เพื่อให้ทันต่อกระแสโลก จึงทำให้เกิดการบริการรูปแบบใหม่ๆ ขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ต การให้บริการส่งข่าวสาร SMSหรือการโหลดเพลงผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ

           นอกจากนี้หน่วยงานต่างๆ ยังได้สร้างระบบงานสารสนเทศในหน่วยงานของตนเองขึ้นเป็นจำนวนมาก เช่น การทำเว็บไซด์ของหน่วยงานเพื่อใช้ประโยชน์จากสารสนเทศเหล่านั้นเพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างกว้างขวางและคุ้มค่า โดยสารสนเทศเข้ามามีบทบาทในการจัดทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อใช้ในการสื่อสาร การประชาสัมพันธ์ การปฏิบัติงาน การแก้ปัญหา หรือการตัดสินใจ เพื่อการวางแผนและการจัดการ

           ดังนั้นเทคโนโลยีสารสนเทศจึงมีบทบาทและความสำคัญมากในปัจจุบัน และมีแนวโน้มที่จะมีบทบาทมากยิ่งขึ้นในอนาคต เพราะเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการดำเนินงานสารสนเทศให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นับตั้งแต่การผลิต การจัดเก็บ การประมวลผล การเรียกใช้ การสื่อสารสารสนเทศ การแลกเปลี่ยนและใช้ทรัพยากรสารสนเทศร่วมกันให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่



วิวัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศ
 

              เทคโนโลยีสารสนเทศที่ใช้ในการจัดการมากที่สุด คือ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ การใช้ระบบคอมพิวเตอร์พอจะเรียงลำดับได้ดังนี้

                      ยุคแรก เรียกว่า ยุคการประมวลผลข้อมูล(Data Processing Era) เพื่อใช้ในการคำนวณและการประมวลผลข้อมูล

                      ยุคที่ 2 มีการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการตัดสินใจดำเนินการควบคุม ติดตามผล และวิเคราะห์ผลงานของผู้บริหารระดับต่างๆ เรียกว่า ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information System :MIS)

                      ยุคที่ 3 การใช้คอมพิวเตอร์ในการจัดการทรัพยากรสารสนเทศ (Information Resource Management) เพื่อเรียกใช้สารสนเทศที่ช่วยในการตัดสินใจนำหน่วยงานไปสู่ความสำเร็จ

                      ในยุคปัจจุบัน ความเจริญของเทคโนโลยีสูงมาก มีการขยายขอบเขตของการประมวลผลข้อมูลไปสู่การสร้างและการผลิตสารสนเทศทำให้สามารถสร้างทางเลือกและรูปแบบใหม่ของสินค้าและบริการ ซึ่งเรียกว่า

                                 ยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ(Information Technology :IT) หรือยุคไอที โดยการใช้ระบบคอมพิวเตอร์และระบบการสื่อสารโทรคมนาคมเป็นเครื่องมือช่วยในการจัดทำระบบสารสนเทศ และเน้นความคิดเรื่องการให้บริการสารสนเทศแก่ผู้ใช้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นวัตถุประสงค์สำคัญ


ตัวอย่างเเละประโยชของสารสนเทศ
1. ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงสารสนเทศที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและทันต่อ
เหตุการณ์เนื่องจากข้อมูลถูกจัดเก็บและบริหารอย่างเป็นระบบ ทำให้ผู้บริหารสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วในรูปแบบที่เหมาะสมและสามารถนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ทันต่อความต้องการ
2. ช่วยในการกำหนดเป้าหมายกลยุทธ์และการวางแผนปฏิบัติการ โดยผู้บริหาร
สามารถนำข้อมูลที่ได้จากระบบสารสนเทศมาช่วยในการวางแผนและกำหนดเป้าหมายในการดำเนินงานเนื่องจากสารสนเทศถูกรวบรวมและจัดการอย่างเป็นระบบ ทำให้มีประวัติของข้อมูลอย่างต่อเนื่อง สามารถที่จะบ่งชี้แนวโน้มของการดำเนินงานว่าน่าจะเป็นไปในลักษณะใด
       3. ช่วยในการตรวจสอบการดำเนินงาน เมื่อแผนงานถูกนำไปปฏิบัติในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ผู้ควบคุมจะต้องตรวจสอบผลการดำเนินงานโดยนำข้อมูลบางส่วนมาประมวลผลเพื่อประกอบการประเมิน สารสนเทศที่ได้จะแสดงให้เห็นผลการดำเนินงานว่าสอดคล้องกับเป้าหมายที่ต้องการเพียงไร
      4. ช่วยในการศึกษาและวิเคราะห์สาเหตูของปัญหา ผู้บริหารสามรถใช้ระบบสารสนเทศประกอบการศึกษาและการค้นหาสาเหตุ หรือข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในการดำเนินงาน ถ้าการดำเนินงานไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยอาจจะเรียกข้อมูลเพิ่มเติมออกมาจากระบบ เพื่อให้ทราบว่าความผิดพลาดในการปฏิบัติงานเกิดขึ้นจากสาเหตุใด หรือจัดรูปแบบสารสนเทศในการวิเคราะห์ปัญหาใหม่
      5. ช่วยให้ผู้ใช้สามารถวิเคราะห์ปัญหาหรืออุปสรรคที่เกิดขึ้น เพื่อหาวิธีควบคุม ปรับปรุงและแก้ไขปัญหา สารสนเทศที่ได้จากการประมวลผลจะช่วยให้ผู้บริหารวิเคราะห์ว่าการดำเนินงานในแต่ละทางเลือกจะช่วยแก้ไขหรือควบคุมปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างไร ธุรกิจต้องทำอย่างไรเพื่อปรับเปลี่ยนหรือพัฒนาให้การดำเนินงานเป็นไปตามแผนงานหรือเป้าหมาย
    6. ช่วยลดค่าใช้จ่าย ระบบสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพช่วยให้ธุรกิจลดเวลา แรงงาน และค่าใช้จ่ายในการทำงานลง เนื่องจากระบบสารสนเทศสามารถรับภาระงานที่ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก ตลอดจนช่วยลดขั้นตอนในการทำงาน ส่งผลให้ธุรกิจสามารถลดจำนวนคนและระยะเวลาในการประสานงานให้น้อยลง โดยผลงานที่ออกมาอาจเท่าหรือดีกว่าเดิม ซึ่งจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพในการแข่งขันของธุรกิจ
               จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าระบบสารสนเทศมีความสำคัญในการบริหารจัดการภายในองค์กร เพราะทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันสิ่งแวดล้อมโลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาและมีการแข่งขันทางธุรกิจสูงองค์กรที่มีระบบการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพและเข้าถึงข้อมูลได้เร็วเท่านั้นถึงจะอยู่รอดได้ในปัจจุบันดังนั้นผู้บริหารขององค์กรนับว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทในการที่จะพัฒนาระบบสารสนเทศของตนเองให้มีความทันสมัยและนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะปัจจุบันการนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในวงการธุรกิจก็เพื่อลดต้นทุนการผลิต สนับสนุนการตัดสินใจในการบริหารงานและใช้ในการแข่งขันทางธุรกิจ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ในด้านต่างๆสำหรับองค์กร นอกจากนี้ยังสร้างความแข็งแกร่งทางด้านธุรกิจ เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตสินค้าและบริการ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันนำไปสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ต่อไปในอนาคต

โครงสร้างของระบบสารสนเทศ 
ข้อมูลและฐานข้อมูล
   ปัจจุบันทุกองค์กรได้ให้ความสำคัญในการนำระบบสารสนเทศ
มาประยุกต์ใช้เพื่อใช้ในการวางแผน  การบริหารจัดการภายในองค์กร  ระบบสารสนเทศที่นำมาใช้ในแต่ละระดับจะแตกต่างกัน จึงมีการจัดเตรียมสารสนเทศเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการในการใช้งานในแต่ละระดับขององค์กร
   การจัดโครงสร้างของระบบสารสนเทศ  ซึ่งแบ่งออกเป็น  2  อย่าง คือ การจัดโครงสร้างของระบบสารสนเทศโดยแบ่งตามการใช้สารสนเทศ และแบ่งตามกิจกรรม   เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการจัดโครงสร้างของระบบสารสนเทศได้ชัดเจน
กำลังโหลด...
1. การจัดโครงสร้างของระบบสารสนเทศ
โดยแบ่งตามการใช้สารสนเทศ
การจัดโครงสร้างของระบบสารสนเทศมีลักษณะคล้ายรูป  ปิรามิด โดยมีฐานกว้างและแคบขึ้นไปบรรจบกันเป็นมุมแหลมซึ่งหมายถึง แต่ละระดับต้องการใช้สารสนเทศที่แตกต่างกันนอกจากการใช้สารสนเทศจะแตกต่างกันแล้วกิจกรรมในแต่ละระดับก็แตกต่างกันด้วย   แต่โครงสร้างของระบบสารสนเทศมีลักษณะคล้ายรูปปิรามิดเหมือนกัน
ระดับที่  1  สารสนเทศที่ได้จากการประมวลผลรายการ
สารสนเทศที่ได้จากการประมวลผลรายการ เป็นการบอกถึงสถานะของสารสนเทศโดยการใช้คอมพิวเตอร์ทำการประมวลผลรายการเพื่อให้ได้สารสนเทศตามต้องการ ลักษณะงานเป็นงานประจำที่ต้องทำซ้ำๆ เกี่ยว ข้องกับข้อมูลรายการ (transaction  data)
       ผู้ใช้ในระดับนี้จะทำหน้าที่เกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูล  การป้อนข้อมูลนำเข้า  การสร้างระบบและการใช้ประโยชน์จากระบบงานสารสนเทศ ที่มีผู้ใช้หลายคน ซึ่งผู้ใช้สามารถป้อนข้อมูลเข้าได้โดยตรงและได้ผลของรายงานออกมาทันที เช่น ระบบสารสนเทศที่เกี่ยวกับการสั่งซื้อสินค้า  การขายสินค้า  ใบส่งของ การจองตั๋วเครื่องบิน การจองโรงแรมห้องพัก เป็นต้น

กำลังโหลด...
   สารสนเทศสำหรับวางแผนการปฏิบัติงาน ตัดสินใจและควบคุม  เป็นสารสนเทศที่ละเอียด มีความถูกต้อง ใช้สารสนเทศเพื่อช่วยสนับสนุนการดำเนินงานประจำวัน สารสนเทศในระดับนี้จะเป็นผู้บริหารระดับปฏิบัติงานหรือผู้บริหาร ผู้บริหารกลุ่มนี้จะใช้สารสน เทศเพื่อควบคุมการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพ เช่น สารสนเทศที่เกี่ยวกับการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมและการควบคุมคุณภาพสิน ค้า ที่ได้จากกระบวนการผลิต ตัวอย่างเช่น หัวหน้าแผนกขายต้องการทราบว่าพนักงานคนใดที่ยอดขายสูงสุดและต่ำที่สุดในไตรมาสแรกของปี  พ.ศ. 2549  (ดังตารางที่  5.1)
ระดับที่2 สารสนเทศสำหรับวางแผนการปฏิบัติงานตัดสินใจและควบคุม
ตารางที่ 5.1 สรุปยอดขายสินค้าในช่วง 3 เดือนแรกของปี พ.ศ. 2549

   
   จากตารางที่  5.1  แสดงให้เห็นยอดขายสินค้าแต่ละชนิดของพนักงานแต่ละคน และแสดงให้เห็นว่าพนักงานที่ขายสินค้าได้มากที่สุดคือสมชายและพนักงานที่ขายสินค้าได้น้อยที่สุดคือประสิทธิ์ ผู้ บริหารระดับนี้มักต้องการสารสนเทศอย่างละเอียดซึ่งเป็นสารสน เทศภายในระบบเพื่อใช้ในการวางแผน การดำเนินการ เช่น งานบางแผนกทำไมพนักงานจึงต้องทำงานล่วงเวลามาก ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากวิธีการวางแผนการทำงานไม่ดีหรือบุคลากรมีไม่เพียงพอ
ตารางที่ 5.1 สรุปยอดขายสินค้าในช่วง 3 เดือนแรกของปี พ.ศ. 2549
       สารสนเทศสำหรับวางแผนยุทธวิธีและการตัดสินใจ  ใช้สำหรับการตัดสินใจและวางแผนระยะสั้น ผู้ใช้สารสนเทศในระดับนี้จะเป็นผู้บริหารระดับกลางได้แก่  ผู้จัดการ  หัวหน้าฝ่าย  ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เป็นต้น  สารสนเทศจะถูกนำไปใช้ในการวางแผนตั้งแต่  6 เดือนถึง 1 ปี สารสนเทศนี้ใช้เพื่อสนับสนุนนโยบายที่กำหนดไว้ในระดับสูงเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย หรือเป็นสารสนเทศที่ต้องการเป็นครั้งคราวขึ้นอยู่กับโอกาส เช่น ผู้จัดการฝ่ายขายต้องการสารสนเทศที่เป็นรายงานสรุปยอดรวมของการขายสินค้าในแต่ละภาค (ดังตารางที่ 5.2)

ระดับที่ 3 สารสนเทศสำหรับวางแผนยุทธวิธีและการตัดสินใจ
ตารางที่ 5.2 สรุปยอดขายสินค้าของแต่ละภาคในช่วง 3 เดือนแรก
ของปี พ.ศ. 2549

   การแสดงผลสรุปยอดขายสินค้าของแต่ละภาคอาจนำเสนอเป็นกราฟวงกลมซึ่งจะดูง่ายกว่าแสดงเป็นตาราง (ดังภาพที่  5.2 )
สรุปยอดขายสินค้าของแต่ละภาค

ภาพที่  5.2  ผลสรุปยอดขายสินค้าของแต่ละภาค
กำลังโหลด...
ระดับที่ 4 สารสนเทศสำหรับการวางแผนกลยุทธ์ นโยบายและตัดสินใจ
   เป็นสารสนเทศที่สรุป มีรายละเอียดน้อย ใช้สำหรับการตัดสินใจและการวางแผนระยะยาว ผู้ใช้สารสนเทศในระดับนี้จะเป็นผู้บริหารระดับสูง  ได้แก่ ประธานบริษัท ผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารระดับนี้ต้องการระบบสารสนเทศที่ใช้สนับสนุนการวางแผนกลยุทธ์ ต้องเป็นสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่คาดการณ์ไว้ในอนาคต นอกจากนั้นจะใช้สารสนเทศที่ได้มาจากภายนอกองค์กร  เช่น สารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับลูกค้า สภาวะการตลาด ความสามารถของคู่แข่งขันและส่วนแบ่งตลาด
       ถึงแม้ว่าระบบสารสนเทศจะไม่สามารถใช้สนับสนุนการวางแผนกลยุทธ์ได้โดยตรงแต่ก็สามารถช่วยเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจ ระบบสารสนเทศในระดับนี้เป็นรายงานสรุปในลักษณะที่นำไปใช้ในการคาดคะเน รายงานการวิเคราะห์  “ถ้า  อะไร”  (“ What if” report) ผู้บริหารอาจต้องการสารสนเทศจากทั้งภายในและภายนอกองค์กร
ระดับที่ 4 สารสนเทศสำหรับการวางแผนกลยุทธ์ นโยบายและตัดสินใจ
   หรือการวิเคราะห์แนวโน้ม (trend  analysis)  เช่น  ประธานบริษัทอาจขอรายงานที่แสดงแนวโน้มของการขายสินค้าทั้งหมดในอีก  4  ปีข้างหน้า  เพื่อดูแนวโน้มในการเติบโตของสินค้าต่างๆ ของสินค้าชนิดใดมีแนวโน้มการขายเป็นอย่างไรและผลสรุปยอดรวมของการขายสินค้าทั้งหมด (ดังตารางที่  5.3)
ระดับที่ 4 สารสนเทศสำหรับการวางแผนกลยุทธ์ นโยบายและตัดสินใจ
ตารางที่ 5.3 แนวโน้มการขายสินค้าในช่วงปี พ.ศ. 2549 - 2552

   ในการแสดงแนวโน้มอาจแสดงด้วยรูปกราฟแท่ง จะทำให้ดูง่ายกว่าแสดงด้วยตาราง (ดังภาพที่  5.3)
2549
2550
2551
2552

แนวโน้มของการขายสินค้าในช่วงปี พ.ศ. 2549 – 2552
ภาพที่  5.3  แนวโน้มของการขายสินค้าในช่วงปี พ.ศ. 2549 – 2552
       จากภาพที่  5.3  ประธานบริษัทจะเห็นแนวโน้มของการขายสินค้าได้อย่างชัดเจน  ผู้บริหารระดับสูงจะไม่ใช้สารสนเทศในการลงความเห็นเลยทีเดียวเพราะในการประกอบธุรกิจจะต้องเกี่ยวข้องกับปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกองค์กร ผู้บริหารในแต่ละระดับมีความต้องการสารสนเทศต่างกัน  ผู้บริหารระดับต้นต้องการสารสนเทศที่ละเอียดเพื่อใช้ในการพัฒนางานแต่ผู้บริหารระดับสูงต้องการสารสนเทศสรุปเพื่อใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้ม สารสนเทศจึงจัดเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้บริหาร โดยผู้บริหารจะใช้สารสนเทศเป็นทรัพยากรสำคัญในการจัดการเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดและเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามต้องการ

   
   
2. การจัดโครงสร้างของระบบสารสนเทศโดยแบ่งตามกิจกรรม

       นอกจากจะแบ่งโครงสร้างของระบบสารสนเทศออกเป็นระดับตามการใช้สารสนเทศแล้ว ยังสามารถแบ่งโครงสร้างของระบบสารสนเทศตามกิจกรรมของหน่วยงานออกเป็น  4  ระดับ คือ (ดังภาพที่  5.4)
ภาพที่  5.4  โครงสร้างของระบบสารสนเทศแบ่งตามกิจกรรม

  ระดับที่ 1. การประมวลผลรายการ (Transaction  Processing)
      เป็นการเตรียมสารสนเทศเพื่อจัดทำรายงาน  จะต้องมีการเก็บรวบรวมข้อมูลและป้อนข้อมูลเพื่อทำการประมวลผลรายการจากข้อมูลรายการในลักษณะรายการที่ทำซ้ำ ๆ
ระดับที่ 2. การวางแผนด้านการปฏิบัติงาน (Operational  Planning)
     เป็นการเตรียมสารสนเทศเพื่อใช้ในการวางแผนรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานประจำวัน  ควบคุมการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพภายใต้อุปกรณ์  เครื่องมือและงบประมาณที่จำกัด


   ระดับที่ 3. การวางแผนยุทธวิธี  (Tactical  Planning)
      เป็นการเตรียมสารสนเทศเพื่อใช้ในการวางแผนระยะสั้นเพื่อการกำหนดวิธีการจัดหาทรัพยากร  การยัดโครงสร้างการทำงานให้เป็นระบบ  วางแผนอัตรากำลังในช่วงระยะสั้นเพื่อให้สอดคล้องกับการวางแผนกลยุทธ์
         ระดับที่ 4. การวางแผนกลยุทธ์  (Strategic  Planning)
      เป็นการเตรียมสารสนเทศเพื่อใช้ในการวางแผนระยะยาว  วางกลยุทธ์ทางการตลาด  กำหนดเป้าหมาย  นโยบายและแนวทางทั่ว ๆ ไปที่แสดงถึงเป้าหมายโดยรวมขององค์กร

   ในการดำเนินงานของหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ ยังแบ่งออกเป็นระบบงานย่อย ๆ ดังนั้นในการจัดทำระบบสารสนเทศที่สมบูรณ์จะต้องประกอบด้วยระบบสารสนเทศย่อยๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการทุกระดับในระบบงานย่อย ๆ นั้น (ดังภาพที่  5.5)


ฝ่ายบุคคล
ฝ่ายผลิต
ฝ่ายขาย
ฝ่ายบัญชี
สารสนเทศแบ่งตามกิจกรรม
การวางแผนกลยุทธ์
( Strategic Planning )
การวางแผนด้านยุทธวิธี
( Tactical Planning )
การวางแผนด้านการปฏิบัติงาน
( Operational Planning )
การประมวลผลรายการ
( Tramsacttion Processing )
ภาพที่ 5.5 โครงสร้างของระบบสารสนเทศในระบบงานย่อย
     จากภาพที่ 5.5 จะเห็นว่าระบบงานย่อยต่างๆ ขององค์กรสัมพันธ์กับระบบสารสนเทศที่แยกตามกิจกรรมด้วย การที่ระบบงานย่อยจะทำงานผสมผสานกันได้นั้น  จะต้องมีฐานข้อมูลเป็นตัวกลางเชื่อมโยงกับระบบงานย่อยต่างๆ ฐานข้อมูลเป็นศูนย์กลางข้อมูลที่ได้มีการจัดเก็บรวบรวมไว้เป็นหมวดหมู่เพื่อใช้ในการประมวลผล
     ระบบสารสนเทศของระบบงานย่อยต่าง ๆจะถูกจัดเป็นแฟ้มข้อมูล โดยแฟ้มข้อมูลเหล่านี้จะถูกสร้างไว้เป็นฐานข้อมูลภายใต้การควบคุมของระบบการจัดการฐานข้อมูล (database management system)  โครงสร้างของระบบสารสนเทศที่เชื่อมโยงด้วยฐานข้อมูลจะมีระบบการจัดการฐานข้อมูลเป็นตัวจัดการ (ดังภาพที่ 5.6)

ฝ่ายบุคคล
ฝ่ายผลิต
ฝ่ายขาย
ฝ่ายบัญชี
สารสนเทศแบ่งตามกิจกรรม
การวางแผนกลยุทธ์
( Strategic Planning )
การวางแผนด้านยุทธวิธี
( Tactical Planning )
การวางแผนด้านการปฏิบัติงาน
( Operational Planning )
การประมวลผลรายการ
( Tramsacttion Processing )



ระบบการจัดการฐานข้อมูล
ฐานข้อมูล
   จากการแบ่งโครงสร้างของระบบสารสนเทศตามกิจกรรมของหน่วยงาน สามารถแบ่งสารสนเทศออกเป็น  3  ประเภทคือ
ภาพที่ 5.6 โครงสร้างของระบบสารสนเทศที่เชื่อมโยงด้วยฐานข้อมูล
ประเภทที่ 1. สารสนเทศที่ได้จากการประมวลผลรายการ
   รายการ (Transaction) หมายถึงการดำเนินการในกิจกรรมหนึ่งๆ ซึ่งเป็นงานประจำ เป็นงานที่ทำบ่อย ๆ ภายในองค์กร โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อ
   1.1 กำหนดรายการที่จะต้องนำเข้า(Input transaction) เพื่อนำข้อมูลป้อนเข้าเครื่อง เช่น การจัดซื้อหรือขายสินค้า  การส่งรายการผลิตสินค้า   คะแนนของนักศึกษา  การสั่งจองตั๋วเครื่องบิน เป็นต้น
   1.2 การแสดงผลรายงาน (Output  transaction)เป็นผลที่ได้จากากรประมวลผลซึ่งส่วนใหญ่ผลลัพธ์จะแสดงออกในรูปของรายงาน เช่นใบส่งของ  ใบสั่งสินค้า  ใบเสร็จรับเงิน ใบเกรดนักศึกษา  ตั๋วเครื่องบิน เป็นต้น

   1.3 การติดต่อสื่อสารระหว่างรายการหนึ่งกับรายการอื่น ๆ ที่ต้องการผลของรายงานเป็นสารสนเทศที่จะนำไปใช้ต่อไป
   รูปแบบของรายงานของระบบสารสนเทศ อาจเป็นแบบต่าง ๆ ดังนี้
   1. รายงานที่แสดงออกทางหน้าจอคอมพิวเตอร์
   2. รายงานที่ได้กำหนดรูปแบบไว้แล้วล่วงหน้า
   3. การถาม – ตอบ  ที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้า
   4. การถาม – ตอบ โดยไม่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าเป็นการถามตอบตามความต้องการเฉพาะเรื่อง
ประเภทที่ 1. สารสนเทศที่ได้จากการประมวลผลรายการ

ประเภทที่ 2 สารสนเทศเพื่อการดำเนินการ
   เป็นสารสนเทศซึ่งส่วนใหญ่จะแสดงออกในรูปแบบของรายงานแบบต่าง ๆ เป็นรายสัปดาห์ รายเดือนหรือรายปี  เช่น
   2.1  รายงานที่แสดงรายละเอียดของงาน (Detail  report)  ซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้บริหารระดับต้นในการควบคุมการปฏิบัติงาน
   2.2 รายงานสรุป (Summary  report) ซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้บริหารระดับสูงในการวางแผนระยะยาว
   2.3 รายงานยกเว้น (Exception  report)  เช่น  รายงานที่เกี่ยวกับงานที่ไม่เป็นไปตามปกติ  เช่น การประท้วงการขึ้นค่าแรง  ปัญหาเฉพาะหน้า  ภาวการณ์ขาดทุนเป็นต้น
ประเภทที่ 3 สารสนเทศเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ
   เป็นสารสนเทศที่มักจะไม่แสดงออกในรูปของรายงานแต่จะเป็นสารสนเทศที่ใช้ในการสนับสนุนการตัดสินใจ ซึ่งผู้บริหารแต่ละระดับจะมีลักษณะและวิธีการตัดสินใจโดยเฉพาะขึ้นอยู่กับสารสนเทศที่จะนำไปใช้ในการสนับสนุนการตัดสินใจ
การไหลเวียนของสารสนเทศ (Information  Flow)
   ในระดับต่าง ๆ ขององค์กรจะทำหน้าที่แตกต่างกัน  และในระดับเดียวกันก็จะประกอบด้วยงานย่อยต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วยสารสนเทศย่อย ๆ ที่สอดคล้องกับลักษณะงานข้อมูลต่าง ๆ ในองค์กรจะถูกรวบรวมสร้างเป็นฐานข้อมูลเพื่อให้ทั้งองค์กรสามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้และมีการไหลเวียนของสารสนเทศในทุกระดับขององค์กรโดยสารสนเทศจะถูกรวบรวม ถ่ายโอนไปยังระบบงานต่าง ๆ เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุเป้าหมายและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่องค์กร  
(ดังภาพที่  5.7)

ภาพที่ 5.7 การไหลเวียนของสารสนเทศ
กำลังโหลด...
โครงสร้างข้อมูล
      ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริงที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันเกี่ยวกับบุคคล สิ่งของ หรือ เหตุการณ์ที่สนใจศึกษา ข้อมูลอาจเป็นตัวเลข (numeric)  หรืออาจเป็นตัวอักษรหรือข้อความ (alphabetic)  และข้อความที่เป็นตัวเลขผสมข้อความ (alphanumeric)นอกจาก นี้ข้อมูลอาจเป็นภาพ (image) และ(sound) ก็ได้ การที่จะได้ระบบสารสนเทศที่ดีนั้นเกิดจากการเตรียมข้อมูลที่ดี การจัดเก็บข้อมูลจะเก็บอยู่ในรูปของแฟ้มข้อมูล

ส่วนประกอบของแฟ้มข้อมูล
   การจัดเก็บข้อมูลในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่เก็บในรูปของแฟ้มข้อมูล จะมีการกำหนดโครงสร้างข้อมูลที่จัดเก็บในแฟ้มข้อมูลซึ่งประกอบด้วยส่วนประกอบที่สำคัญ  ดังนี้
1. ตัวอักขระ  (Character)
   ตัวอักขระหมายถึงสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในภาษามนุษย์แบ่งออกเป็น  3  ประเภท คือ
    ตัวเลข (Numeric) คือ เลขฐาน 10 ซึ่งประกอบด้วยตัวเลข 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9
    ตัวอักษร (Alphabetic) คือ ตัวอักษร  A ถึง Z
   

2. ฟิลด์  (Field)
3. เรคคอร์ด  (Record)
   ฟิลด์ คือ อักขระที่มารวมกันแล้วก่อให้เกิดความหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ชื่อ – สกุล  อายุ  เงินเดือน  ที่อยู่  เบอร์โทรศัพท์  เป็นต้น
   เรคคอร์ด คือ ฟิลด์ที่เกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กันมารวมกัน เช่น เรคคอร์ดนักศึกษาจะประกอบ ด้วยรายละเอียดของข้อมูลนักศึกษา  ฉะนั้นข้อมูลนักศึกษา  1  คน จะเป็น  1  เรคคอร์ด
ส่วนประกอบของแฟ้มข้อมูล
 สัญลักษณ์พิเศษ (Special  symbol) เช่น เครื่องหมายคณิตศาสตร์  และสัญลักษณ์ต่างๆเช่น +, -, *, /, ?, #, &  เป็นต้น
4. แฟ้มข้อมูล  (File)
   แฟ้มข้อมูล คือ เรคคอร์ดหลาย ๆ เรคคอร์ดที่เกี่ยวข้องกันมารวมกัน ปัจจุบันแฟ้มข้อมูลมี หลายประเภท แฟ้มข้อมูลที่จะนำมาใช้ประมวลผลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์อาจมีแฟ้มข้อมูลเดียวหรือหลายแฟ้มข้อมูล แฟ้มข้อมูลแบ่งออกเป็นหลายประเภท ดังนี้
4.1 แบ่งประเภทตามลักษณะของข้อมูล  ได้แก่
       แฟ้มข้อมูลโปรแกรม (Program  file) เป็นแฟ้มข้อ มูลที่เก็บโปรแกรมคำสั่งที่เขียนขึ้นด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ 
ส่วนประกอบของแฟ้มข้อมูล
   แฟ้มข้อมูลข้อความ (Text  file) เป็นแฟ้มข้อมูลที่เก็บข้อมูลเป็นข้อความเช่น แฟ้มเอกสารต่าง ๆ ที่มีสกุล  .txt, .csv  เป็นต้น
    แฟ้มข้อมูลเสียง (Sound  file)  เป็นแฟ้มข้อมูลเสียงที่มีสกุล  .mid (midi) หรือสกุล .wav (wave)  เป็นต้น
   แฟ้มข้อมูลวีดิโอ(Video file)เป็นแฟ้มข้อมูลที่มีสกุล .ave, .mov, .mpg
    แฟ้มข้อมูลภาพกราฟิก(Graphic file) เป็นแฟ้มข้อมูลที่เป็นรูปภาพที่มีสกุล .bmp, .jpg, .gif, tif, .png  เป็นต้น
ส่วนประกอบของแฟ้มข้อมูล
ส่วนประกอบของแฟ้มข้อมูล
4.2  แบ่งตามลักษณะการใช้งานได้แก่
    แฟ้มข้อมูลหลัก (Master  file)  หรือแฟ้มข้อมูลถาวรคือ  แฟ้มข้อมูลที่เก็บข้อมูลสำคัญซึ่งต้องการเก็บไว้อย่างถาวร การปรับปรุงจะใช้ข้อมูลจากแฟ้มรายการ  ในงานหนึ่ง ๆอาจมีแฟ้มข้อมูลหลักมากกว่า  1  แฟ้มก็ได้  ตัวอย่างแฟ้มข้อมูลหลัก เช่น แฟ้มข้อมูลลูกค้า แฟ้มข้อมูลรายการสินค้า เป็นต้น
    แฟ้มรายการ  (Transaction  file)  หรือแฟ้มข้อมูลชั่วคราว คือ  แฟ้มข้อมูลที่รวบรวมการเปลี่ยนแปลงบางอย่างของแฟ้มข้อมูลหลักเก็บเป็นรายการย่อย ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะนำไปทำการปรับปรุงกับแฟ้มข้อมูลหลัก  เช่น  แฟ้มข้อมูลการชำระหนี้ของลูกค้า  รายการขายสินค้าประจำวัน  รายการเงินฝาก – ถอน  การสำรองเที่ยวบิน  เป็นต้น
ส่วนประกอบของแฟ้มข้อมูล
ตัวอย่างการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลในแฟ้มข้อมูลหลัก (ดังภาพที่ 5.8)

ภาพที่ 5.8 การปรับปรุงแก้ไขข้อมูลในแฟ้มข้อมูลหลัก
   ในการปรับปรุงแก้ไขแฟ้มข้อมูลหลัก โดยทั่วไปจะใช้แฟ้มข้อมูล 2 แฟ้ม โดยแฟ้มแรกใช้เก็บข้อมูลหลักที่กำลังทำการปรับปรุงแก้ไข แฟ้มที่สองจะเก็บข้อมูลเฉพาะรายการเปลี่ยนแปลง
        แฟ้มข้อมูลสำรอง (Backup  file)  หมายถึง  แฟ้มข้อมูลที่ได้จากการทำสำเนาแฟ้มข้อมูลสำคัญเอาไว้ใช้ในกรณีที่แฟ้มข้อมูลสำคัญมีปัญหาอาจใช้แฟ้มข้อมูลสำรองแทน
   
ส่วนประกอบของแฟ้มข้อมูล
ฐานข้อมูล  (Database)
   ความหมายของฐานข้อมูลเดิมคือการรวมแฟ้มข้อมูลหลาย ๆ แฟ้มที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันซึ่งแต่ละแฟ้มข้อมูลจะประกอบด้วยหลายเรคคอร์ด แต่ในปัจจุบันฐานข้อมูลสมัยใหม่จะเก็บข้อมูลในรูปของความจริง (facts)  ความหมายของฐานข้อมูลสมัยใหม่จึงเป็นการจัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันอย่างมีระบบนอกจากจะเก็บตัวข้อมูลแล้วยังเก็บความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลด้วย
      ดังนั้น ฐานข้อมูลจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการสร้างระบบ   สารสนเทศ เนื่องจาก
ฐานข้อมูล  (Database)
1. ปัจจัยที่ก่อให้เกิดระบบฐานข้อมูล
แต่ละฝ่ายจะมีแฟ้มข้อมูลของตนเองทำให้เกิดการซ้ำซ้อนของข้อมูล
 เมื่อมีการปรับปรุงแฟ้มข้อมูลจะต้องปรับปรุงหลายแฟ้มข้อมูล
 โอกาสการเกิดข้อมูลไม่ถูกต้องตรงกันได้ง่าย
2. ประโยชน์ของการทำฐานข้อมูล
 ช่วยลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล
 เป็นศูนย์กลางของข้อมูลเพื่อใช้ข้อมูลร่วมกัน
 ข้อมูลถูกต้องตรงกัน ข้อมูลเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะมาจากฐานข้อมูลเดียวกัน
ฐานข้อมูล  (Database)
 ข้อมูลมีความเป็นอิสระในการจัดเก็บและมีความคล่องตัวในการเรียกใช้งาน
 การปรับปรุงแก้ไขข้อมูลทำได้ง่าย  รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
 มีระบบความปลอดภัยของข้อมูลเพราะการนำข้อมูลมาเก็บรวมไว้ในที่เดียวกันสามารถกำหนดสิทธิ์ในการใช้ข้อมูลได้สะดวกขึ้น
ระบบการจัดการฐานข้อมูล
(DBMS:Database Management System)  
   ระบบการจัดการฐานข้อมูล (DBMS) คือซอฟต์แวร์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกต่อผู้ใช้ฐานข้อมูล ในการสร้าง ปรับปรุงและเรียกใช้ข้อมูลในฐานข้อมูลโดยผู้ใช้จะไม่เข้าไปใช้ข้อมูลในฐานข้อมูลโดยตรงแต่จะใช้ผ่านซอฟต์แวร์ที่เป็นตัวจัดการ  เรียกว่า ระบบจัดการฐานข้อมูล  ตัวอย่างซอฟต์แวร์ที่ใช้  ได้แก่  Microsoft  Access,  Ingres, Paradox, Informix, Oracle  เป็นต้น
   ตัวอย่าง ในองค์กรหนึ่งอาจมีแฟ้มข้อมูลหลายแฟ้ม เช่น แฟ้มข้อมูลพนักงานของแผนกบุคคล  แฟ้มข้อมูลเงินเดือนของแผนกจ่ายเงินเดือนและแฟ้มข้อมูลสวัสดิการของแผนกจ่ายเงินเดือนและแฟ้มข้อมูลสวัสดิการของแผนกสวัสดิการ ถ้าผู้บริหารต้องการเรียกดูข้อมูลของพนักงานจะต้องใช้ทั้ง 3 แฟ้ม ทำให้ไม่สะดวกจึงมีการนำแฟ้มข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันทั้งหมดมาสร้างเป็นฐานข้อมูลเดียวกันและมีโปรแกรมการจัดการฐานข้อมูล  ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้ในการเรียกใช้ข้อมูลในฐานข้อมูล (ดังภาพที่   5.9)
ระบบการจัดการฐานข้อมูล
(DBMS:Database Management System)  

ภาพที่ 5.9 การใช้ฐานข้อมูลรวมเพื่อบริการโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ
โดยระบบการจัดการฐานข้อมูล
   ในปัจจุบันมีระบบการจัดการฐานข้อมูลแบบใหม่ เรียกว่า ระบบการจัดการฐานข้อมูลแบบอ๊อบเจ็ค (OODBMS; Oriented DBMS) ซึ่งเป็นระบบจัดการฐานข้อมูลที่สามารถเก็บข้อมูลที่เป็นมัลติมีเดีย  เช่น  ภาพเคลื่อนไหวและเสียงได้ ซึ่งระบบการจัดการฐานข้อมูลทั่วไปไม่สามารถเก็บข้อมูลภาพวาดได้
ดังนั้นระบบการจัดการฐานข้อมูลจึงมีความสำคัญ ดังต่อไปนี้
1. หน้าที่ของระบบการจัดการฐานข้อมูล
 จัดการโครงสร้างที่ใช้ในการเก็บข้อมูล
 ค้นหาข้อมูลตามเงื่อนไขที่ต้องการ
 จัดทำรายงานตามต้องการ
หน้าที่ของระบบการจัดการฐานข้อมูล
 เพิ่ม ลบ แก้ไข ปรับปรุง ข้อมูลในฐานข้อมูล
 ควบคุมดูแลการสร้างและการเรียกใช้ฐานข้อมูล
2. ประโยชน์ของระบบการจัดการฐานข้อมูล
 ช่วยในการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ด้านการใช้งาน
 สามารถใช้ข้อมูลกับงานหลายงานได้ในขณะเดียวกัน
 การค้นหาข้อมูลจากฐานข้อมูลได้ง่าย
ประโยชน์ของระบบการจัดการฐานข้อมูล
 ควบคุมข้อมูลให้ถูกต้อง (Accuracy)และสอดคล้องกัน (Consistency)
 สามารถลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล
 การปรับปรุงข้อมูลให้กลับสู่สภาวะปกติทำได้รวดเร็ว
    และเป็นมาตรฐาน
   ฐานข้อมูลนับว่ามีประโยชน์ต่อการบริหารจัดการในองค์กร นอกจากนี้องค์กรจะต้องมีการกำหนดผู้รับผิดชอบฐานข้อมูลและกำหนดสิทธิ์กับผู้ใช้ในแต่ละระดับซึ่งเป็นระบบความปลอดภัยของข้อมูลเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน
   ปัจจุบันมีการทำคลังข้อมูล  (data  warehouse)  ซึ่งหมายถึงฐานข้อมูลที่จัดเก็บข้อมูลปัจจุบันและข้อมูลเก่าที่ฝ่ายบริหารยังต้องการใช้    โดยมีเทคนิคในการค้นหาข้อมูลที่เรียกว่า  การทำเหมืองข้อมูล(data  mining)  ซึ่งเป็นการสืบค้นความรู้ที่เป็นประโยชน์และน่าสนใจบนฐานข้อมูลขนาดใหญ่โดยถือว่าข้อมูลที่มีอยู่ในฐานข้อมูลนั้นเปรียบเสมือนกับเหมืองขนาดใหญ่ที่สามารถสืบค้นความรู้ที่ต้องการได้การทำเหมืองข้อมูลจะช่วยให้องค์การรู้ความต้องการของลูกค้า  ข้อมูลเหล่านี้จะนำไปใช้ในการวางแผนระยะยาวได้ด้วย