โครงสร้างของระบบสารสนเทศ
ข้อมูลและฐานข้อมูล
ข้อมูลและฐานข้อมูล
ปัจจุบันทุกองค์กรได้ให้ความสำคัญในการนำระบบสารสนเทศ
มาประยุกต์ใช้เพื่อใช้ในการวางแผน การบริหารจัดการภายในองค์กร ระบบสารสนเทศที่นำมาใช้ในแต่ละระดับจะแตกต่างกัน จึงมีการจัดเตรียมสารสนเทศเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการในการใช้งานในแต่ละระดับขององค์กร
การจัดโครงสร้างของระบบสารสนเทศ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 อย่าง คือ การจัดโครงสร้างของระบบสารสนเทศโดยแบ่งตามการใช้สารสนเทศ และแบ่งตามกิจกรรม เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการจัดโครงสร้างของระบบสารสนเทศได้ชัดเจน
กำลังโหลด...
1. การจัดโครงสร้างของระบบสารสนเทศ
โดยแบ่งตามการใช้สารสนเทศ
โดยแบ่งตามการใช้สารสนเทศ
•การจัดโครงสร้างของระบบสารสนเทศมีลักษณะคล้ายรูป ปิรามิด โดยมีฐานกว้างและแคบขึ้นไปบรรจบกันเป็นมุมแหลมซึ่งหมายถึง แต่ละระดับต้องการใช้สารสนเทศที่แตกต่างกันนอกจากการใช้สารสนเทศจะแตกต่างกันแล้วกิจกรรมในแต่ละระดับก็แตกต่างกันด้วย แต่โครงสร้างของระบบสารสนเทศมีลักษณะคล้ายรูปปิรามิดเหมือนกัน
ระดับที่ 1 สารสนเทศที่ได้จากการประมวลผลรายการ
สารสนเทศที่ได้จากการประมวลผลรายการ เป็นการบอกถึงสถานะของสารสนเทศโดยการใช้คอมพิวเตอร์ทำการประมวลผลรายการเพื่อให้ได้สารสนเทศตามต้องการ ลักษณะงานเป็นงานประจำที่ต้องทำซ้ำๆ เกี่ยว ข้องกับข้อมูลรายการ (transaction data)
ผู้ใช้ในระดับนี้จะทำหน้าที่เกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูล การป้อนข้อมูลนำเข้า การสร้างระบบและการใช้ประโยชน์จากระบบงานสารสนเทศ ที่มีผู้ใช้หลายคน ซึ่งผู้ใช้สามารถป้อนข้อมูลเข้าได้โดยตรงและได้ผลของรายงานออกมาทันที เช่น ระบบสารสนเทศที่เกี่ยวกับการสั่งซื้อสินค้า การขายสินค้า ใบส่งของ การจองตั๋วเครื่องบิน การจองโรงแรมห้องพัก เป็นต้น
กำลังโหลด...
สารสนเทศสำหรับวางแผนการปฏิบัติงาน ตัดสินใจและควบคุม เป็นสารสนเทศที่ละเอียด มีความถูกต้อง ใช้สารสนเทศเพื่อช่วยสนับสนุนการดำเนินงานประจำวัน สารสนเทศในระดับนี้จะเป็นผู้บริหารระดับปฏิบัติงานหรือผู้บริหาร ผู้บริหารกลุ่มนี้จะใช้สารสน เทศเพื่อควบคุมการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพ เช่น สารสนเทศที่เกี่ยวกับการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมและการควบคุมคุณภาพสิน ค้า ที่ได้จากกระบวนการผลิต ตัวอย่างเช่น หัวหน้าแผนกขายต้องการทราบว่าพนักงานคนใดที่ยอดขายสูงสุดและต่ำที่สุดในไตรมาสแรกของปี พ.ศ. 2549 (ดังตารางที่ 5.1)
ระดับที่2 สารสนเทศสำหรับวางแผนการปฏิบัติงานตัดสินใจและควบคุม
ตารางที่ 5.1 สรุปยอดขายสินค้าในช่วง 3 เดือนแรกของปี พ.ศ. 2549

จากตารางที่ 5.1 แสดงให้เห็นยอดขายสินค้าแต่ละชนิดของพนักงานแต่ละคน และแสดงให้เห็นว่าพนักงานที่ขายสินค้าได้มากที่สุดคือสมชายและพนักงานที่ขายสินค้าได้น้อยที่สุดคือประสิทธิ์ ผู้ บริหารระดับนี้มักต้องการสารสนเทศอย่างละเอียดซึ่งเป็นสารสน เทศภายในระบบเพื่อใช้ในการวางแผน การดำเนินการ เช่น งานบางแผนกทำไมพนักงานจึงต้องทำงานล่วงเวลามาก ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากวิธีการวางแผนการทำงานไม่ดีหรือบุคลากรมีไม่เพียงพอ
ตารางที่ 5.1 สรุปยอดขายสินค้าในช่วง 3 เดือนแรกของปี พ.ศ. 2549
สารสนเทศสำหรับวางแผนยุทธวิธีและการตัดสินใจ ใช้สำหรับการตัดสินใจและวางแผนระยะสั้น ผู้ใช้สารสนเทศในระดับนี้จะเป็นผู้บริหารระดับกลางได้แก่ ผู้จัดการ หัวหน้าฝ่าย ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เป็นต้น สารสนเทศจะถูกนำไปใช้ในการวางแผนตั้งแต่ 6 เดือนถึง 1 ปี สารสนเทศนี้ใช้เพื่อสนับสนุนนโยบายที่กำหนดไว้ในระดับสูงเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย หรือเป็นสารสนเทศที่ต้องการเป็นครั้งคราวขึ้นอยู่กับโอกาส เช่น ผู้จัดการฝ่ายขายต้องการสารสนเทศที่เป็นรายงานสรุปยอดรวมของการขายสินค้าในแต่ละภาค (ดังตารางที่ 5.2)
ระดับที่ 3 สารสนเทศสำหรับวางแผนยุทธวิธีและการตัดสินใจ
ตารางที่ 5.2 สรุปยอดขายสินค้าของแต่ละภาคในช่วง 3 เดือนแรก
ของปี พ.ศ. 2549

การแสดงผลสรุปยอดขายสินค้าของแต่ละภาคอาจนำเสนอเป็นกราฟวงกลมซึ่งจะดูง่ายกว่าแสดงเป็นตาราง (ดังภาพที่ 5.2 )
สรุปยอดขายสินค้าของแต่ละภาค
ภาพที่ 5.2 ผลสรุปยอดขายสินค้าของแต่ละภาค
กำลังโหลด...
ระดับที่ 4 สารสนเทศสำหรับการวางแผนกลยุทธ์ นโยบายและตัดสินใจ
เป็นสารสนเทศที่สรุป มีรายละเอียดน้อย ใช้สำหรับการตัดสินใจและการวางแผนระยะยาว ผู้ใช้สารสนเทศในระดับนี้จะเป็นผู้บริหารระดับสูง ได้แก่ ประธานบริษัท ผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารระดับนี้ต้องการระบบสารสนเทศที่ใช้สนับสนุนการวางแผนกลยุทธ์ ต้องเป็นสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่คาดการณ์ไว้ในอนาคต นอกจากนั้นจะใช้สารสนเทศที่ได้มาจากภายนอกองค์กร เช่น สารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับลูกค้า สภาวะการตลาด ความสามารถของคู่แข่งขันและส่วนแบ่งตลาด
ถึงแม้ว่าระบบสารสนเทศจะไม่สามารถใช้สนับสนุนการวางแผนกลยุทธ์ได้โดยตรงแต่ก็สามารถช่วยเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจ ระบบสารสนเทศในระดับนี้เป็นรายงานสรุปในลักษณะที่นำไปใช้ในการคาดคะเน รายงานการวิเคราะห์ “ถ้า อะไร” (“ What if” report) ผู้บริหารอาจต้องการสารสนเทศจากทั้งภายในและภายนอกองค์กร
ระดับที่ 4 สารสนเทศสำหรับการวางแผนกลยุทธ์ นโยบายและตัดสินใจ
หรือการวิเคราะห์แนวโน้ม (trend analysis) เช่น ประธานบริษัทอาจขอรายงานที่แสดงแนวโน้มของการขายสินค้าทั้งหมดในอีก 4 ปีข้างหน้า เพื่อดูแนวโน้มในการเติบโตของสินค้าต่างๆ ของสินค้าชนิดใดมีแนวโน้มการขายเป็นอย่างไรและผลสรุปยอดรวมของการขายสินค้าทั้งหมด (ดังตารางที่ 5.3)
ระดับที่ 4 สารสนเทศสำหรับการวางแผนกลยุทธ์ นโยบายและตัดสินใจ
ตารางที่ 5.3 แนวโน้มการขายสินค้าในช่วงปี พ.ศ. 2549 - 2552

ในการแสดงแนวโน้มอาจแสดงด้วยรูปกราฟแท่ง จะทำให้ดูง่ายกว่าแสดงด้วยตาราง (ดังภาพที่ 5.3)
2549
2550
2551
2552
แนวโน้มของการขายสินค้าในช่วงปี พ.ศ. 2549 – 2552
ภาพที่ 5.3 แนวโน้มของการขายสินค้าในช่วงปี พ.ศ. 2549 – 2552
จากภาพที่ 5.3 ประธานบริษัทจะเห็นแนวโน้มของการขายสินค้าได้อย่างชัดเจน ผู้บริหารระดับสูงจะไม่ใช้สารสนเทศในการลงความเห็นเลยทีเดียวเพราะในการประกอบธุรกิจจะต้องเกี่ยวข้องกับปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกองค์กร ผู้บริหารในแต่ละระดับมีความต้องการสารสนเทศต่างกัน ผู้บริหารระดับต้นต้องการสารสนเทศที่ละเอียดเพื่อใช้ในการพัฒนางานแต่ผู้บริหารระดับสูงต้องการสารสนเทศสรุปเพื่อใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้ม สารสนเทศจึงจัดเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้บริหาร โดยผู้บริหารจะใช้สารสนเทศเป็นทรัพยากรสำคัญในการจัดการเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดและเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามต้องการ
2. การจัดโครงสร้างของระบบสารสนเทศโดยแบ่งตามกิจกรรม

นอกจากจะแบ่งโครงสร้างของระบบสารสนเทศออกเป็นระดับตามการใช้สารสนเทศแล้ว ยังสามารถแบ่งโครงสร้างของระบบสารสนเทศตามกิจกรรมของหน่วยงานออกเป็น 4 ระดับ คือ (ดังภาพที่ 5.4)
ภาพที่ 5.4 โครงสร้างของระบบสารสนเทศแบ่งตามกิจกรรม
ระดับที่ 1. การประมวลผลรายการ (Transaction Processing)
เป็นการเตรียมสารสนเทศเพื่อจัดทำรายงาน จะต้องมีการเก็บรวบรวมข้อมูลและป้อนข้อมูลเพื่อทำการประมวลผลรายการจากข้อมูลรายการในลักษณะรายการที่ทำซ้ำ ๆ
ระดับที่ 2. การวางแผนด้านการปฏิบัติงาน (Operational Planning)
เป็นการเตรียมสารสนเทศเพื่อใช้ในการวางแผนรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานประจำวัน ควบคุมการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพภายใต้อุปกรณ์ เครื่องมือและงบประมาณที่จำกัด


ระดับที่ 3. การวางแผนยุทธวิธี (Tactical Planning)
เป็นการเตรียมสารสนเทศเพื่อใช้ในการวางแผนระยะสั้นเพื่อการกำหนดวิธีการจัดหาทรัพยากร การยัดโครงสร้างการทำงานให้เป็นระบบ วางแผนอัตรากำลังในช่วงระยะสั้นเพื่อให้สอดคล้องกับการวางแผนกลยุทธ์
ระดับที่ 4. การวางแผนกลยุทธ์ (Strategic Planning)
เป็นการเตรียมสารสนเทศเพื่อใช้ในการวางแผนระยะยาว วางกลยุทธ์ทางการตลาด กำหนดเป้าหมาย นโยบายและแนวทางทั่ว ๆ ไปที่แสดงถึงเป้าหมายโดยรวมขององค์กร


ในการดำเนินงานของหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ ยังแบ่งออกเป็นระบบงานย่อย ๆ ดังนั้นในการจัดทำระบบสารสนเทศที่สมบูรณ์จะต้องประกอบด้วยระบบสารสนเทศย่อยๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการทุกระดับในระบบงานย่อย ๆ นั้น (ดังภาพที่ 5.5)
ฝ่ายบุคคล
ฝ่ายผลิต
ฝ่ายขาย
ฝ่ายบัญชี
สารสนเทศแบ่งตามกิจกรรม
การวางแผนกลยุทธ์
( Strategic Planning )
การวางแผนด้านยุทธวิธี
( Tactical Planning )
การวางแผนด้านการปฏิบัติงาน
( Operational Planning )
การประมวลผลรายการ
( Tramsacttion Processing )
ภาพที่ 5.5 โครงสร้างของระบบสารสนเทศในระบบงานย่อย
จากภาพที่ 5.5 จะเห็นว่าระบบงานย่อยต่างๆ ขององค์กรสัมพันธ์กับระบบสารสนเทศที่แยกตามกิจกรรมด้วย การที่ระบบงานย่อยจะทำงานผสมผสานกันได้นั้น จะต้องมีฐานข้อมูลเป็นตัวกลางเชื่อมโยงกับระบบงานย่อยต่างๆ ฐานข้อมูลเป็นศูนย์กลางข้อมูลที่ได้มีการจัดเก็บรวบรวมไว้เป็นหมวดหมู่เพื่อใช้ในการประมวลผล
ระบบสารสนเทศของระบบงานย่อยต่าง ๆจะถูกจัดเป็นแฟ้มข้อมูล โดยแฟ้มข้อมูลเหล่านี้จะถูกสร้างไว้เป็นฐานข้อมูลภายใต้การควบคุมของระบบการจัดการฐานข้อมูล (database management system) โครงสร้างของระบบสารสนเทศที่เชื่อมโยงด้วยฐานข้อมูลจะมีระบบการจัดการฐานข้อมูลเป็นตัวจัดการ (ดังภาพที่ 5.6)
ฝ่ายบุคคล
ฝ่ายผลิต
ฝ่ายขาย
ฝ่ายบัญชี
สารสนเทศแบ่งตามกิจกรรม
การวางแผนกลยุทธ์
( Strategic Planning )
การวางแผนด้านยุทธวิธี
( Tactical Planning )
การวางแผนด้านการปฏิบัติงาน
( Operational Planning )
การประมวลผลรายการ
( Tramsacttion Processing )
ระบบการจัดการฐานข้อมูล
ฐานข้อมูล
จากการแบ่งโครงสร้างของระบบสารสนเทศตามกิจกรรมของหน่วยงาน สามารถแบ่งสารสนเทศออกเป็น 3 ประเภทคือ
ภาพที่ 5.6 โครงสร้างของระบบสารสนเทศที่เชื่อมโยงด้วยฐานข้อมูล
ประเภทที่ 1. สารสนเทศที่ได้จากการประมวลผลรายการ
รายการ (Transaction) หมายถึงการดำเนินการในกิจกรรมหนึ่งๆ ซึ่งเป็นงานประจำ เป็นงานที่ทำบ่อย ๆ ภายในองค์กร โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อ
1.1 กำหนดรายการที่จะต้องนำเข้า(Input transaction) เพื่อนำข้อมูลป้อนเข้าเครื่อง เช่น การจัดซื้อหรือขายสินค้า การส่งรายการผลิตสินค้า คะแนนของนักศึกษา การสั่งจองตั๋วเครื่องบิน เป็นต้น
1.2 การแสดงผลรายงาน (Output transaction)เป็นผลที่ได้จากากรประมวลผลซึ่งส่วนใหญ่ผลลัพธ์จะแสดงออกในรูปของรายงาน เช่นใบส่งของ ใบสั่งสินค้า ใบเสร็จรับเงิน ใบเกรดนักศึกษา ตั๋วเครื่องบิน เป็นต้น


1.3 การติดต่อสื่อสารระหว่างรายการหนึ่งกับรายการอื่น ๆ ที่ต้องการผลของรายงานเป็นสารสนเทศที่จะนำไปใช้ต่อไป
รูปแบบของรายงานของระบบสารสนเทศ อาจเป็นแบบต่าง ๆ ดังนี้
1. รายงานที่แสดงออกทางหน้าจอคอมพิวเตอร์
2. รายงานที่ได้กำหนดรูปแบบไว้แล้วล่วงหน้า
3. การถาม – ตอบ ที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้า
4. การถาม – ตอบ โดยไม่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าเป็นการถามตอบตามความต้องการเฉพาะเรื่อง
ประเภทที่ 1. สารสนเทศที่ได้จากการประมวลผลรายการ

ประเภทที่ 2 สารสนเทศเพื่อการดำเนินการ
เป็นสารสนเทศซึ่งส่วนใหญ่จะแสดงออกในรูปแบบของรายงานแบบต่าง ๆ เป็นรายสัปดาห์ รายเดือนหรือรายปี เช่น
2.1 รายงานที่แสดงรายละเอียดของงาน (Detail report) ซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้บริหารระดับต้นในการควบคุมการปฏิบัติงาน
2.2 รายงานสรุป (Summary report) ซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้บริหารระดับสูงในการวางแผนระยะยาว
2.3 รายงานยกเว้น (Exception report) เช่น รายงานที่เกี่ยวกับงานที่ไม่เป็นไปตามปกติ เช่น การประท้วงการขึ้นค่าแรง ปัญหาเฉพาะหน้า ภาวการณ์ขาดทุนเป็นต้น
ประเภทที่ 3 สารสนเทศเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ
เป็นสารสนเทศที่มักจะไม่แสดงออกในรูปของรายงานแต่จะเป็นสารสนเทศที่ใช้ในการสนับสนุนการตัดสินใจ ซึ่งผู้บริหารแต่ละระดับจะมีลักษณะและวิธีการตัดสินใจโดยเฉพาะขึ้นอยู่กับสารสนเทศที่จะนำไปใช้ในการสนับสนุนการตัดสินใจ
การไหลเวียนของสารสนเทศ (Information Flow)
ในระดับต่าง ๆ ขององค์กรจะทำหน้าที่แตกต่างกัน และในระดับเดียวกันก็จะประกอบด้วยงานย่อยต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วยสารสนเทศย่อย ๆ ที่สอดคล้องกับลักษณะงานข้อมูลต่าง ๆ ในองค์กรจะถูกรวบรวมสร้างเป็นฐานข้อมูลเพื่อให้ทั้งองค์กรสามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้และมีการไหลเวียนของสารสนเทศในทุกระดับขององค์กรโดยสารสนเทศจะถูกรวบรวม ถ่ายโอนไปยังระบบงานต่าง ๆ เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุเป้าหมายและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่องค์กร
(ดังภาพที่ 5.7)


ภาพที่ 5.7 การไหลเวียนของสารสนเทศ
กำลังโหลด...
โครงสร้างข้อมูล
ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริงที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันเกี่ยวกับบุคคล สิ่งของ หรือ เหตุการณ์ที่สนใจศึกษา ข้อมูลอาจเป็นตัวเลข (numeric) หรืออาจเป็นตัวอักษรหรือข้อความ (alphabetic) และข้อความที่เป็นตัวเลขผสมข้อความ (alphanumeric)นอกจาก นี้ข้อมูลอาจเป็นภาพ (image) และ(sound) ก็ได้ การที่จะได้ระบบสารสนเทศที่ดีนั้นเกิดจากการเตรียมข้อมูลที่ดี การจัดเก็บข้อมูลจะเก็บอยู่ในรูปของแฟ้มข้อมูล

ส่วนประกอบของแฟ้มข้อมูล
การจัดเก็บข้อมูลในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่เก็บในรูปของแฟ้มข้อมูล จะมีการกำหนดโครงสร้างข้อมูลที่จัดเก็บในแฟ้มข้อมูลซึ่งประกอบด้วยส่วนประกอบที่สำคัญ ดังนี้
1. ตัวอักขระ (Character)
ตัวอักขระหมายถึงสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในภาษามนุษย์แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
ตัวเลข (Numeric) คือ เลขฐาน 10 ซึ่งประกอบด้วยตัวเลข 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9
ตัวอักษร (Alphabetic) คือ ตัวอักษร A ถึง Z


2. ฟิลด์ (Field)
3. เรคคอร์ด (Record)
ฟิลด์ คือ อักขระที่มารวมกันแล้วก่อให้เกิดความหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ชื่อ – สกุล อายุ เงินเดือน ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ เป็นต้น
เรคคอร์ด คือ ฟิลด์ที่เกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กันมารวมกัน เช่น เรคคอร์ดนักศึกษาจะประกอบ ด้วยรายละเอียดของข้อมูลนักศึกษา ฉะนั้นข้อมูลนักศึกษา 1 คน จะเป็น 1 เรคคอร์ด
ส่วนประกอบของแฟ้มข้อมูล
สัญลักษณ์พิเศษ (Special symbol) เช่น เครื่องหมายคณิตศาสตร์ และสัญลักษณ์ต่างๆเช่น +, -, *, /, ?, #, & เป็นต้น
4. แฟ้มข้อมูล (File)
แฟ้มข้อมูล คือ เรคคอร์ดหลาย ๆ เรคคอร์ดที่เกี่ยวข้องกันมารวมกัน ปัจจุบันแฟ้มข้อมูลมี หลายประเภท แฟ้มข้อมูลที่จะนำมาใช้ประมวลผลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์อาจมีแฟ้มข้อมูลเดียวหรือหลายแฟ้มข้อมูล แฟ้มข้อมูลแบ่งออกเป็นหลายประเภท ดังนี้
4.1 แบ่งประเภทตามลักษณะของข้อมูล ได้แก่
แฟ้มข้อมูลโปรแกรม (Program file) เป็นแฟ้มข้อ มูลที่เก็บโปรแกรมคำสั่งที่เขียนขึ้นด้วยภาษาคอมพิวเตอร์
ส่วนประกอบของแฟ้มข้อมูล
แฟ้มข้อมูลข้อความ (Text file) เป็นแฟ้มข้อมูลที่เก็บข้อมูลเป็นข้อความเช่น แฟ้มเอกสารต่าง ๆ ที่มีสกุล .txt, .csv เป็นต้น
แฟ้มข้อมูลเสียง (Sound file) เป็นแฟ้มข้อมูลเสียงที่มีสกุล .mid (midi) หรือสกุล .wav (wave) เป็นต้น
แฟ้มข้อมูลวีดิโอ(Video file)เป็นแฟ้มข้อมูลที่มีสกุล .ave, .mov, .mpg
แฟ้มข้อมูลภาพกราฟิก(Graphic file) เป็นแฟ้มข้อมูลที่เป็นรูปภาพที่มีสกุล .bmp, .jpg, .gif, tif, .png เป็นต้น
ส่วนประกอบของแฟ้มข้อมูล
ส่วนประกอบของแฟ้มข้อมูล
4.2 แบ่งตามลักษณะการใช้งานได้แก่
แฟ้มข้อมูลหลัก (Master file) หรือแฟ้มข้อมูลถาวรคือ แฟ้มข้อมูลที่เก็บข้อมูลสำคัญซึ่งต้องการเก็บไว้อย่างถาวร การปรับปรุงจะใช้ข้อมูลจากแฟ้มรายการ ในงานหนึ่ง ๆอาจมีแฟ้มข้อมูลหลักมากกว่า 1 แฟ้มก็ได้ ตัวอย่างแฟ้มข้อมูลหลัก เช่น แฟ้มข้อมูลลูกค้า แฟ้มข้อมูลรายการสินค้า เป็นต้น
แฟ้มรายการ (Transaction file) หรือแฟ้มข้อมูลชั่วคราว คือ แฟ้มข้อมูลที่รวบรวมการเปลี่ยนแปลงบางอย่างของแฟ้มข้อมูลหลักเก็บเป็นรายการย่อย ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะนำไปทำการปรับปรุงกับแฟ้มข้อมูลหลัก เช่น แฟ้มข้อมูลการชำระหนี้ของลูกค้า รายการขายสินค้าประจำวัน รายการเงินฝาก – ถอน การสำรองเที่ยวบิน เป็นต้น
ส่วนประกอบของแฟ้มข้อมูล
ตัวอย่างการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลในแฟ้มข้อมูลหลัก (ดังภาพที่ 5.8)

ภาพที่ 5.8 การปรับปรุงแก้ไขข้อมูลในแฟ้มข้อมูลหลัก
ในการปรับปรุงแก้ไขแฟ้มข้อมูลหลัก โดยทั่วไปจะใช้แฟ้มข้อมูล 2 แฟ้ม โดยแฟ้มแรกใช้เก็บข้อมูลหลักที่กำลังทำการปรับปรุงแก้ไข แฟ้มที่สองจะเก็บข้อมูลเฉพาะรายการเปลี่ยนแปลง
แฟ้มข้อมูลสำรอง (Backup file) หมายถึง แฟ้มข้อมูลที่ได้จากการทำสำเนาแฟ้มข้อมูลสำคัญเอาไว้ใช้ในกรณีที่แฟ้มข้อมูลสำคัญมีปัญหาอาจใช้แฟ้มข้อมูลสำรองแทน
ส่วนประกอบของแฟ้มข้อมูล
ฐานข้อมูล (Database)
ความหมายของฐานข้อมูลเดิมคือการรวมแฟ้มข้อมูลหลาย ๆ แฟ้มที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันซึ่งแต่ละแฟ้มข้อมูลจะประกอบด้วยหลายเรคคอร์ด แต่ในปัจจุบันฐานข้อมูลสมัยใหม่จะเก็บข้อมูลในรูปของความจริง (facts) ความหมายของฐานข้อมูลสมัยใหม่จึงเป็นการจัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันอย่างมีระบบนอกจากจะเก็บตัวข้อมูลแล้วยังเก็บความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลด้วย
ดังนั้น ฐานข้อมูลจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการสร้างระบบ สารสนเทศ เนื่องจาก
ฐานข้อมูล (Database)
1. ปัจจัยที่ก่อให้เกิดระบบฐานข้อมูล
แต่ละฝ่ายจะมีแฟ้มข้อมูลของตนเองทำให้เกิดการซ้ำซ้อนของข้อมูล
เมื่อมีการปรับปรุงแฟ้มข้อมูลจะต้องปรับปรุงหลายแฟ้มข้อมูล
โอกาสการเกิดข้อมูลไม่ถูกต้องตรงกันได้ง่าย
2. ประโยชน์ของการทำฐานข้อมูล
ช่วยลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล
เป็นศูนย์กลางของข้อมูลเพื่อใช้ข้อมูลร่วมกัน
ข้อมูลถูกต้องตรงกัน ข้อมูลเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะมาจากฐานข้อมูลเดียวกัน
ฐานข้อมูล (Database)
ข้อมูลมีความเป็นอิสระในการจัดเก็บและมีความคล่องตัวในการเรียกใช้งาน
การปรับปรุงแก้ไขข้อมูลทำได้ง่าย รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
มีระบบความปลอดภัยของข้อมูลเพราะการนำข้อมูลมาเก็บรวมไว้ในที่เดียวกันสามารถกำหนดสิทธิ์ในการใช้ข้อมูลได้สะดวกขึ้น
ระบบการจัดการฐานข้อมูล
(DBMS:Database Management System)
ระบบการจัดการฐานข้อมูล (DBMS) คือซอฟต์แวร์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกต่อผู้ใช้ฐานข้อมูล ในการสร้าง ปรับปรุงและเรียกใช้ข้อมูลในฐานข้อมูลโดยผู้ใช้จะไม่เข้าไปใช้ข้อมูลในฐานข้อมูลโดยตรงแต่จะใช้ผ่านซอฟต์แวร์ที่เป็นตัวจัดการ เรียกว่า ระบบจัดการฐานข้อมูล ตัวอย่างซอฟต์แวร์ที่ใช้ ได้แก่ Microsoft Access, Ingres, Paradox, Informix, Oracle เป็นต้น
ตัวอย่าง ในองค์กรหนึ่งอาจมีแฟ้มข้อมูลหลายแฟ้ม เช่น แฟ้มข้อมูลพนักงานของแผนกบุคคล แฟ้มข้อมูลเงินเดือนของแผนกจ่ายเงินเดือนและแฟ้มข้อมูลสวัสดิการของแผนกจ่ายเงินเดือนและแฟ้มข้อมูลสวัสดิการของแผนกสวัสดิการ ถ้าผู้บริหารต้องการเรียกดูข้อมูลของพนักงานจะต้องใช้ทั้ง 3 แฟ้ม ทำให้ไม่สะดวกจึงมีการนำแฟ้มข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันทั้งหมดมาสร้างเป็นฐานข้อมูลเดียวกันและมีโปรแกรมการจัดการฐานข้อมูล ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้ในการเรียกใช้ข้อมูลในฐานข้อมูล (ดังภาพที่ 5.9)
ระบบการจัดการฐานข้อมูล
(DBMS:Database Management System)


ภาพที่ 5.9 การใช้ฐานข้อมูลรวมเพื่อบริการโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ
โดยระบบการจัดการฐานข้อมูล
ในปัจจุบันมีระบบการจัดการฐานข้อมูลแบบใหม่ เรียกว่า ระบบการจัดการฐานข้อมูลแบบอ๊อบเจ็ค (OODBMS; Oriented DBMS) ซึ่งเป็นระบบจัดการฐานข้อมูลที่สามารถเก็บข้อมูลที่เป็นมัลติมีเดีย เช่น ภาพเคลื่อนไหวและเสียงได้ ซึ่งระบบการจัดการฐานข้อมูลทั่วไปไม่สามารถเก็บข้อมูลภาพวาดได้
ดังนั้นระบบการจัดการฐานข้อมูลจึงมีความสำคัญ ดังต่อไปนี้
1. หน้าที่ของระบบการจัดการฐานข้อมูล
จัดการโครงสร้างที่ใช้ในการเก็บข้อมูล
ค้นหาข้อมูลตามเงื่อนไขที่ต้องการ
จัดทำรายงานตามต้องการ
หน้าที่ของระบบการจัดการฐานข้อมูล
เพิ่ม ลบ แก้ไข ปรับปรุง ข้อมูลในฐานข้อมูล
ควบคุมดูแลการสร้างและการเรียกใช้ฐานข้อมูล
2. ประโยชน์ของระบบการจัดการฐานข้อมูล
ช่วยในการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ด้านการใช้งาน
สามารถใช้ข้อมูลกับงานหลายงานได้ในขณะเดียวกัน
การค้นหาข้อมูลจากฐานข้อมูลได้ง่าย
ประโยชน์ของระบบการจัดการฐานข้อมูล
ควบคุมข้อมูลให้ถูกต้อง (Accuracy)และสอดคล้องกัน (Consistency)
สามารถลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล
การปรับปรุงข้อมูลให้กลับสู่สภาวะปกติทำได้รวดเร็ว
และเป็นมาตรฐาน
ฐานข้อมูลนับว่ามีประโยชน์ต่อการบริหารจัดการในองค์กร นอกจากนี้องค์กรจะต้องมีการกำหนดผู้รับผิดชอบฐานข้อมูลและกำหนดสิทธิ์กับผู้ใช้ในแต่ละระดับซึ่งเป็นระบบความปลอดภัยของข้อมูลเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน
ปัจจุบันมีการทำคลังข้อมูล (data warehouse) ซึ่งหมายถึงฐานข้อมูลที่จัดเก็บข้อมูลปัจจุบันและข้อมูลเก่าที่ฝ่ายบริหารยังต้องการใช้ โดยมีเทคนิคในการค้นหาข้อมูลที่เรียกว่า การทำเหมืองข้อมูล(data mining) ซึ่งเป็นการสืบค้นความรู้ที่เป็นประโยชน์และน่าสนใจบนฐานข้อมูลขนาดใหญ่โดยถือว่าข้อมูลที่มีอยู่ในฐานข้อมูลนั้นเปรียบเสมือนกับเหมืองขนาดใหญ่ที่สามารถสืบค้นความรู้ที่ต้องการได้การทำเหมืองข้อมูลจะช่วยให้องค์การรู้ความต้องการของลูกค้า ข้อมูลเหล่านี้จะนำไปใช้ในการวางแผนระยะยาวได้ด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น